rPMS เป็นการกระตุ้นคลื่นแม่เหล็ก โดยการใช้เครื่องมือที่ผลิตคลื่นแม่เหล็กผ่านหัวคอยล์ สามารถนำไปกระตุ้นเนื้อเยื่อ, ระบบประสาทส่วนปลาย คือ เส้นประสาทรับความรู้สึก เส้นประสาทสั่งการ เส้นประสาทอัตโนมัติ โดยเครื่องมือที่ใช้สามารถให้คลื่นแม่เหล็กลงได้ลึกถึง 10เซนติเมตรจากชั้นผิวหนัง ขึ้นกับความแรงและความถี่ที่ใช้กระตุ้น
การกระตุ้นคลื่นแม่เหล็ก ส่งผลต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น
- กระตุ้นเส้นประสาทโดยตรง มีผลให้มีการปรับการทำงานของระบบประสาททั้งที่ เส้นประสาทส่วนปลาย และไขสันหลัง ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนของระบบประสาท (Neuroplasticity)มีผลต่อการฟื้นฟูของระบบประสาท
- เกิดการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อที่ถูกกระตุ้นเป็นจังหวะ ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลดการตึงตัวของกล้ามเนื้อ
- ช่วยควบคุมการไหลเวียนเลือด กระตุ้นการซ่อมแซมเส้นประสาท และเนื้อเยื่อที่มีการบาดเจ็บ ช่วยในการลดปวด ลดบวม
เราใช้rPMS ในการรักษาโรคอะไรได้บ้าง
ด้วยหลักการกระตุ้นคลื่นแม่เหล็กและกลไกที่ส่งผลต่อร่างกายดังกล่าว เราจึงสามารถนำเครื่อง rPMSมาใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย เช่น
โรคกลุ่มกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ เช่น
- กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืด
- อาการปวดจากความเสื่อมของข้อ เช่น เข่าเสื่อม
- ปวดจากไหล่ติด
- บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
โรคกระดูกหลังเสื่อม เช่น
- อาการปวดหลัง/เอว ทั้งระยะเฉียบพลัน และเรื้อรัง
- อาการกระดูกหลังเสื่อม
- หมอนรองกระดูกทับรากประสาท, กระดูกเสื่อมทับรากประสาท
โรคความผิดปกติของระบบประสาท เช่น
- การบกพร่องทางการเคลื่อนไหวจาก โรคหลอดเลือดสมอง, การบาดเจ็บที่สมอง, การบาดเจ็บไขสันหลัง เป็นต้น แต่ในกรณีเป็นโรคที่มีพยาธิสภาพที่สมอง การรักษาด้วยการกระตุ้นคลื่นแม่เหล็กผ่านสมอง (Transcranial Magnetic stimulation/TMS)จะนิยมใช้ในการกระตุ้นการฟื้นฟูของระบบประสาทมากกว่าการใช้ rPMSและควรทำควรคู่ไปกับการรักษาทางขบวนการเวชศาสตร์ฟื้นฟูเสมอ
- ภาวะกลืนลำบาก โดยการใช้ rPMSกระตุ้นกล้ามเนื้อกลุ่มการกลืน
- อาการปวดศีรษะ เช่น ปวดศีรษะไมเกรน ปวดศีรษะจากความตึงเครียด (Tension Headache)
โรคความผิดปกติระบบประสาทส่วนปลาย เช่น
- อาการชาจากเส้นประสาทเสื่อมในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- การบาดเจ็บเส้นประสาท ส่วนปลาย เช่น พังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ, การได้รับบาดเจ็บที่เส้นประสาทโดยตรง
- โรค Bell’s Palsy มีการอักเสบเส้นประสาทที่ใบหน้า ทำให้หน้าเบี้ยว
โรคทางระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธ์
- การกลั่นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ(Urinary incontinence)
- ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ(Sexual dysfunction)
นอกจากนี้ ยังมีการใช้เครื่องในการเสริมความงาม เช่น Body Shaping อีกด้วย
เครื่องrPMSสามารถใช้ได้กับทุกคนหรือไม่ ?
แม้ว่าเครื่อง rPMS จะสามารถนำมาใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้มากมายแต่ก็มีข้อห้าม และข้อควรระวัง เช่น
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ(Cardiac pacemake)
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคสมองที่ผ่าตัดใส่คลิป หรือ shunts
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยใส่cochlear implants)
- ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดใส่เหล็ก เช่น ข้อสะโพกเทียม เป็นต้น
เราใช้ระยะเวลาในการรักษานานเท่าใด
โดยทั่วไปการรักษาด้วยการกระตุ้น rPMS จะใช้เวลาในการรักษาประมาณ15-20 นาทีต่อครั้ง โดยการกระตุ้นที่น้อยเกินไปอาจทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร และการกระตุ้นที่แรงหรือนานเกินไป อาจส่งผลให้เกิดอาการล้า ระบม รวมถึงเป็นตะคริวได้ เนื่องจากการกระตุ้นทำให้เกินการหดตัวของกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ
ทั้งนี้ขึ้นกับโรคและความเห็นของแพทย์ผู้ให้การรักษา ซึ่งอาจจะสามารถทำการรักษานานกว่า 20 นาทีได้
ความถี่ในการทำนั้น ขึ้นอยู่กับว่าได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคอะไร การรักษาอยู่ในระยะไหน เช่น กรณีปวดเรื้อรังอาจทำการรักษาสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือบางกรณี อย่างเช่น การลดปวดจากการบาดเจ็บในระยะเฉียบพลัน อาจสามารถทำการรักษาต่อเนื่องวันละ 1ครั้งได้ ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ให้การรักษา
ข้อดีของการรักษาด้วยrPMS
- เป็นเครื่องมือที่ไม่invasive
- สามารถลดอาการปวดได้ทันทีหลังทำ
- สามารถใช้ได้ในทุกระยะของการปวด การบาดเจ็บ ตั้งแต่ระยะเฉียบพลัน ไปจนถึงระยะเรื้อรัง
- ใช้เวลาในการรักษาแต่ละครั้งสั้น (ประมาณ 20นาที)
- มีประสิทธิภาพในการลดปวดได้ดี ทำให้คอร์สในการรักษาสั้น ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำงาน และใช้ชีวิตตามปกติ ได้เร็วขึ้น ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
ทางสบายดีคลินิกเวชกรรม มีบริการให้การรักษาด้วยเครื่องกระตุ้นแม่เหล็กที่ระบบประสาทส่วนปลาย หรือ rPMS หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษา สามารถติดต่อสอบถามได้ที่
เบอร์โทร0948853339